ฟิสิกส์ในชีวิตประจำวัน
ทำไมยางรัดจึงมีความยืดหยุ่น
ความยืดหยุ่นของของแข็งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระยะห่างระหว่างอะตอม ตัวอย่างเช่น เมื่อดึงเหล็กเส้นให้ยืดออก ระยะห่างระหว่างอะตอมภายในเหล็กเส้นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รูปร่างภายนอกของเหล็กเส้นจึงยาวขึ้น เมื่อระยะห่างระหว่างอะตอมเพิ่มขึ้นจะเกิดแรงดึงดูดระหว่างกัน ทำให้ระยะห่างระหว่างอะตอมหดกลับคืนสู่ระยะเดิม นี่คือที่มาของแรงยืดหยุ่น
ถ้าระยะห่างระหว่างอะตอมถูกดึงออกมากเกินไป จะเข้าสู่ภาวะเสถียรในตำแหน่งใหม่หมายความว่า ถ้าแม้แรงภายนอกจะหมดไปแล้วก็ไม่สามารถหดกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมได้ นั่นก็คือวัตถุจะรักษารูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไว้ตลอดไป การเปลี่ยนแปลงระยะห่างนี้จำกัดอยู่ที่ประมาณ 1% หรืออาจกล่าวได้ว่าของแข็งโดยทั่วไป ถ้าถูกดึงยืดออกเกินยาวเดิม 1% จะไม่สามารถหดกลับสู่สภาพความยาวเดิมได้
การที่ยางรัดของสามารถยืดออกได้ถึง 7 เท่า ความยืดหยุ่นเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แรงยืดหยุ่นของยางรัดของไม่ได้เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างอะตอมเนื่องจากขณะที่ระยะห่างระหว่างอะตอมเพิ่มขึ้นหลายเท่า แรงดึงดูดดังกล่าวจะลดลงเกือบถึงศูนย์ แรงยืดหยุ่นของยางรัดของเกิดจากการสั่นสะเทือนด้วยความร้อนของโมเลกุลแบบลูกโซ่ ซึ่งคล้ายกับแรงยืดหยุ่นของลูกบอลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนด้วยความร้อนของโมเลกุลอากาศนั่นเอง
คำตอบ
ยางรัดของมีโครงสร้างโมเลกุลเป็นแบบลูกโซ่หรือแบบร่างแหขณะที่ถูกยืดออกนั้นโมเลกุลที่ขดม้วนงอเป็นก้อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นค่อนข้างตรง ทำให้ความยาวของยางเปลี่ยนแปลงได้มาก พอแรงจากภายนอกหมดไป โมเลกุลแบบลูกโซ่จะสั่นสะเทือนด้วยความร้อนและหดกลับสู่สภาพเดิม
หลักของคานในกรรไกรตัดเล็บ
กรรไกรตัดเล็บมีคาน 2 ชุด ถ้ากำหนดให้คานชุดแรกมีจุดหมุนอยู่ที่ O แรงกระทำคือ E แรงต้านคือ T จัดเป็นคานอันดับที่สอง
คานชุดที่สองมีจุดหมุนอยู่ที่ Q แรงกระทำคือ T แรงต้านคือ R ( แรงต้านของเล็บที่มีต่อกรรไกร ) จัดเป็นเป็นคานอันดับที่สาม
คำนวณหาค่าโมเมนต์ของแรงในคานชุดที่หนึ่งได้ดังนี้
E ´ a = T ´ b
\ E =
----------(1)

ค่าโมเมนต์ของแรงในคานชุดที่สองเป็นดังนี้
T ( c-d ) = R ´ c
\ T =
--------------(2)

นำ (2) มาแทนที่ (1) จะได้
E =
=


จากสมการดังกล่าวจะเห็นได้ว่าถ้าส่วนยิ่งมากและส่วนยิ่งน้อย การตัดเล็บก็จะออกแรงน้อยลงนั่นคือ กรรไกรตัดเล็บที่มีด้ามจับยาวออกแรงน้อยกว่า
แรงกับการวิ่ง
การวิ่งเป็นการเคลื่อนที่ที่มีลักษณะเป็นระยะรอบซ้ำๆ กันอย่างต่อเนื่อง อัตราเร็วของคลื่นสัมพันธ์กับความถี่และความยาวคลื่น ดังสูตรต่อไปนี้
อัตราเร็ว = ความถี่ ´ ความยาวคลื่น
ในทำนองเดียวกัน อัตราเร็วในการวิ่งก็สัมพันธ์กับความถี่ในการก้าว ( จำนวนก้าวที่วิ่งได้ในหนึ่งวินาที ) และความยาวของก้าว ( ระยะทางในการก้าววิ่งแต่ละก้าว ) ดังสูตรต่อไปนี้
อัตราเร็ว = ความถี่ในการก้าว ´ ความยาวของก้าว
หากต้องการเพิ่มอัตราเร็วในการวิ่งก็ต้องหาวิธีเพิ่มความถี่ในการก้าว และความยาวของก้าว ตัวอย่างเช่น นักวิ่งระยะสั้นคนหนึ่งมีความถี่ในการก้าววิ่งโดยเฉลี่ยวินาทีละ 4.6 ก้าว ความยาวของก้าวโดยเฉลี่ยคือ 1.8 เมตร ดังนั้นอัตราเร็วโดยเฉลี่ยจึงเท่ากับ 8.28 เมตร/วินาที หากเป็นการวิ่งระยะ 100 เมตร อัตราเร็วดังกล่าวต้องใช้เวลา 12.1 วินาที
กำหนดนักวิ่ง A กับ B มีกำลังเท่ากัน โดยแต่ละคนมีวิธีการวิ่งดังแสดงไว้ในรูป(1) และ (2) ตามลำดับ โดยที่มุมในการก้าวของรูป (1) ใหญ่กว่าของรูป (2) ดังนั้นในการยกเท้าขึ้นของ A จะต้องใช้เวลานานกว่าจึงจะลงสัมผัสพื้นเป็นหนึ่งก้าว เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความถี่ในการก้าววิ่งน้อยลง และอีกนัยหนึ่งเนื่องจากมุมในการก้าววิ่งของ A ค่อนข้างมาก ทำให้แรงองค์ประกอบในการยกร่างกายมีค่ามากด้วย แต่แรงองค์ประกอบในแนวระดับที่พุ่งไปข้างหน้าจะค่อนข้างน้อย ดังนั้นความยาวของก้าววิ่งจึงค่อนข้างสั้น สรุปแล้ว A วิ่งได้ช้ากว่า B

ความเร็วในการวิ่งแต่ละก้าวเป็นผลรวมของเวคเตอร์ที่เกิดจากความเร็วที่เหลืออยู่จากการก้าววิ่งครั้งก่อน ( ความเฉื่อย ) รวมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากการวิ่งก้าวต่อไป ในการวิ่งแต่ละก้าวจะได้รับความเร็วเพิ่มเติมมาจากการที่เท้าดันพื้นไปข้างหลัง ดังที่แสดงในรูป (3) แรงที่เท้าถีบพื้นไปข้างหลังเป็น F ในขณะที่จะเกิดแรงปฏิกิริยาที่พื้นกระทำต่อร่างกายเท่ากับ F เช่นกัน ซึ่งแรงนี้นี่เองที่ทำให้เกิดแรงเพิ่มจากการที่เท้าดันพื้นไปข้างหลัง มุมที่ F กระทำกับพื้นเป็นมุม a เรียกว่า มุมก้าวหลัง
แรง F แบ่งออกเป็นแรงองค์ประกอบ F1 และ F2 F1 ทำให้ผู้วิ่งได้รับความเร่งให้พุ่งไปข้างหน้าในแนวระดับ และ F2 เป็นความเร่งที่ทำให้ร่างกายพุ่งขึ้นตรงๆ ในแนวดิ่ง มุม a ของก้าวหลังจะเป็นตัวกำหนดขนาดของแรง F1 และ F2 มุมของก้าวหลังนี้ไม่ควรใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้แรง F ถูกแบ่งไปเป็นแรงยกขึ้น F2 มาก ในขณะที่แรงที่พุ่งไปข้างหน้า F1 จะน้อย ซึ่งทำให้ความถี่ในการก้าววิ่งและความยาวของก้าววิ่งลดลง โดยทั่วไปมุมก้าวหลังในการวิ่งระยะสั้นควรมีค่าประมาณ 52° - 60° ทั้งนี้ขึ้นกับกำลังและเทคนิคของผู้วิ่งด้วย
เมื่อก้าวหลังผ่านไปแล้วร่างกายจะพุ่งไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ตามด้วยการที่เท้าอีกข้างหนึ่งสลับมาสัมผัสพื้น ดังแสดงในรูป (4) R เป็นแรงที่เท้ากระทำต่อพื้นและทำมุม b กับพื้น ดังนั้นแรงปฏิกิริยาของพื้นที่กระทำต่อเท้าจึงเท่ากับแรง R แต่มีทิศทางตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้ในการก้าวเท้าหน้าลงพื้น ควรให้ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นเพื่อลดขนาดของแรง R
จากรูปจะพบว่าแรง R เฉียงไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นการลดความเร็วลง ดังนั้นควรให้มุมลงพื้นของเท้าหน้า b มีขนาดใหญ่ ซึ่งก็คืออย่าให้ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นเร็วเกินไป แต่ควรรอให้ใกล้กับส่วนล่างของร่างกายเสียก่อนจึงค่อยสัมผัสพื้น การทำเช่นนี้จะช่วยลดแรงองค์ประกอบของ R ที่มีทิศทางไปทางด้านหลัง
แรงกับการชักเย่อ
ปัจจัยที่มีผลต่อการแพ้ชนะในการชักเย่อมีหลายอย่าง จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตันนั้น ทั้งสองฝ่ายที่ชักเย่อจะได้รับแรงดึงจากฝ่ายตรงข้ามที่มีขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งต่างก็เท่ากับแรงตึงของเชือก ดังแสดงในรูป (1)

1.วิเคราะห์การเคลื่อนที่
แรงในแนวระดับที่ A ได้รับจะเป็นแรงตึงเชือก (T) และแรงเสียดทานระหว่างพื้นกับเท้า f1 และ f2 โดย A จะอยู่ในสภาพหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ไปยังอีกฝ่ายหนึ่งนั้นขึ้นกับขนาดของ T และ ( f1+ f2 )
ถ้า T > ( f1+ f2 ) แล้ว A จะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม
ถ้า T = ( f1+ f2 ) แล้ว A จะอยู่ในสภาพนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ถ้า T < ( f1+ f2 ) แล้ว A จะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งเข้าหาตัวเอง
ในทำนองเดียวกัน ก็สามารถวิเคราะห์ B ในลักษณะเดียวกัน
ถ้าหากวิเคราะห์ผู้ชักเย่อทั้งสองฝ่ายเป็นองค์เดียว แรงตึง (T) จะเป็นแรงภายใน ( internal force ) ของระบบนี้ ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ขององค์รวมนี้ จึงพิจารณาแต่แรง ( f1+ f2 ) และ ( f3+ f4 ) ซึ่งเป็นแรงภายนอก ( external force ) 2 กลุ่มที่มีทิศตรงข้ามกัน ดังนั้นการแพ้ชนะในการชักเย่อดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับว่าแรงภายนอกกลุ่มใดมีขนาดใหญ่กว่ากัน
เนื่องจากแรงเสียดทาน ( f ) เท่ากับผลคูณของสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน m กับแรงกดโดยตรง ( ในที่นี้คือน้ำหนัก mg ) นั่นคือ
f = mmg
เพราะฉะนั้น ถ้าพื้นของฝ่ายใดลื่นกว่าจะทำให้ฝ่ายนั้นเสียเปรียบ ดังนั้นหากแข่งขันกันจบในแต่ละรอบควรเปลี่ยนข้างกัน
2.วิเคราะห์จากการเคลื่อนหมุน
ในการชักเย่อนอกจากจะเกิดการเคลื่อนที่แล้วยังอาจถูกฝ่ายตรงข้ามดึงจนล้มลง เกิดเป็นการเคลื่อนหมุน

จากรูป (2) จะเห็นว่าเมื่อ A ถูกลากจนเคลื่อนหมุนไปนั้น เขาได้รับโมเมนต์ของแรงที่มีทิศทางตรงกันข้าม หากคิดว่าเท้าด้านหน้าที่แตะพื้นเป็นจุดหมุน
จะคำนวณได้ดังนี้
โมเมนของแรงตามเข็มนาฬิกา = T ´ h
โมเมนของแรงทวนเข็มนาฬิกา = W ´ l
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดึงล้มลงต้องพยายามลดค่า h ลง ( ย่อตัวให้ต่ำ ) และเพิ่มค่า l ให้มากขึ้น ( กางขาทั้งสองข้างออกให้มาก )
3.ทิศทางในการดึงเชือก

ทิศของแรงในการดึงควรทำมุมกับเชือกให้เล็กที่สุด ( ถ้าขนานกับเชือกได้จะดีที่สุด ) ทั้งนี้จะช่วยเพิ่มแรงลัพธ์ได้ ในรูป (3) เป็นการดึงที่ถูกต้อง และรูป (4) เป็นการดึงที่ผิด
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นหลักการทางฟิสิกส์ในการชักเย่อ การแพ้ชนะในการชักเย่อนอกจากสัมพันธ์กับหลักทางฟิสิกส์แล้ว ยังขึ้นกับสรีระและจิตใจของผู้แข่งขันด้วย

คำตอบ
การแพ้ชนะในการชักเย่อที่สำคัญจึงขึ้นกับน้ำหนักโดยรวมของผู้เข้าแข่งขันแต่ละฝ่าย และสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างรองเท้ากับพื้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น